มะเร็งแต่ละบริเวณของร่างกาย มีวิธีรักษาที่แตกต่างกัน แพทย์จะเป็นผู้ที่ตัดสินใจว่าจะรักษาแบบไหน ซึ่งแต่ละวิธีนั้น จะมีผลข้างเคียงจากการรักษาที่แตกต่างกันดังนี้
1. เคมีบำบัด (Chemotherapy)
คือ การรักษาด้วยยาเพื่อควบคุมหรือทำลายเซลล์มะเร็ง โดยการออกฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตและการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็ง และทำลายเซลล์มะเร็งโดยตรง และอาจมีผลข้างเคียงต่อเนื้อเยื่อปกติ
ระยะเวลาการรักษาทั่วไป : ขึ้นกับชนิดและระยะของโรคมะเร็ง และการตอบสนองของมะเร็งต่อตัวยา มักให้เป็นชุด ชุดละ 1-5 วัน ห่างกัน 3-4 สัปดาห์
2. รังสีรักษา (Radiation therapy)
คือรักษาโดยใช้รังสีที่มีพลังงานสูง เช่น รังสีเอ็กซ์ รังสีแกมม่า หรือ อนุภาคที่มีพลังงานสูง เช่น อิเลคตรอน โปรตอน หรือ นิวตรอน โดยฉายรังสีในบริเวณที่เป็นโรคและครอบคลุมไปถึงต่อมน้ำเหลืองที่อาจมีโรคแพร่กระจายไปด้วย รังสีจะฆ่าเซลล์ที่เติบโตเร็ว เช่น เซลล์มะเร็ง แต่เซลล์ในร่างกายที่แบ่งตัวเร็ว เช่น เซลล์ผิวหนัง เซลล์เยื่อบุลำไส้ ก็มีโอกาสถูกทำลายด้วย
ระยะเวลาการรักษาทั่วไป : ฉายรังสี วันละ 1 ครั้ง ครั้งละ 5-15 นาที 5 ครั้งต่อสัปดาห์ จนครบได้ปริมาณรังสีตามแพทย์กำหนด (ประมาณ 10-35 ครั้ง)
3. การผ่าตัด (surgery)
มักทำในผู้ป่วยที่โรคมะเร็งยังอยู่เฉพาะที่ตำแหน่งเริ่มต้น (มะเร็งระยะที่ 1) หรือในบางกรณีเพียงกระจายไปเนื้อเยื่อข้างเคียงหรือลุกลามทะลุผ่านอวัยวะที่เป็นโพรง (ระยะที่ 2) เท่านั้น ฉะนั้นจะเห็นว่ามักมีการรักษาเสริมด้วยเคมีบำบัดหรือรังสีรักษา ซึ่งมีความสำคัญและเสริมให้ผลการผ่าตัดได้ผลดียิ่งขึ้น
การเตรียมตัวสำหรับการรักษามะเร็ง
ตั้งแต่เริ่มต้นการรักษา ผู้ป่วยไม่ทราบแน่นอนว่าจะเกิดผลข้างเคียงอะไรบ้าง หรือเกิดภาวะอะไรในช่วงระหว่างการรักษา แนวทางการเตรียมคือ ในช่วงของเวลาที่รับการรักษา จะต้องหายและดีขึ้น โดยวิธีดังนี้
1.การคิดแต่สิ่งที่ดีในเชิงบวก
จะช่วยลดความกังวลเกี่ยวกับผลข้างเคียงในการรักษา นอกจากนี้การวางแผนที่ดีก่อนการรักษา ช่วยให้สามารถเผชิญปัญหาที่จะเกิดขึ้นได้ดีเช่นเดียวกัน และช่วยในเรื่องของความอยากอาหารด้วย ประชาชนส่วนมากจะรับรู้ถึงผลข้างเคียงของการรักษาที่จะเกิดขึ้น แม้ว่าผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นทีละน้อย หรือ เกิดมากที่สุดจนจบสิ้นการรักษาแล้ว แต่ในปัจจุบันการรักษาทางการแพทย์สามารถควบคุมผลข้างเคียงเหล่านี้ได้ด้วยยาใหม่ๆ
2.การรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพแข็งแรง
จะช่วยป้องกันเนื้อเยื่อในร่างกาย จากการถูกทำลายขณะรับการรักษา และช่วยป้องกันการติดเชื้อ การรักษามะเร็งบางชนิดจะได้ผลดีมากถ้าผู้ป่วยได้รับ พลังงาน โปรตีนจากอาหารที่รับประทานอย่างพอเพียง
3.วางแผนในเรื่องอาหาร
4.จัดเตรียมอาหารที่ชอบรับประทานไว้ในตู้เย็น รวมถึงอาหารที่สามารถรับประทานได้เมื่อไม่สบาย
5.ปรุงอาหารในปริมาณที่พอเหมาะ
6.ให้ญาติช่วยในการปรุงอาหาร หรือการจัดซื้ออาหาร
7.หรือสามารถที่จะปรึกษาแพทย์ พยาบาล นักโภชนากร เพื่อที่จะช่วยในการวางแผนอาหาร
การรักษาโดยการผ่าตัด
หลังผ่าตัด ร่างกายจำเป็นต้องการพลังงานและโปรตีน เพื่อการหายของแผล และการฟื้นตัว ดังนั้น อาหารสำหรับผู้ป่วยผ่าตัด ในช่วง
ระยะแรก อาหารเหลวใส เช่น ซุปใส น้ำผลไม้ อาหารเหลวข้น เช่น ซุปเห็ด ซุปข้าวโพด นม
ระยะที่สอง อาหารที่ย่อยง่ายได้แก่ อาหารอ่อน เช่น โจ๊ก ข้าวต้ม ก๋วยเตี๋ยวน้ำ
ระยะที่สาม อาหารธรรมดา เช่น ขนมปัง ข้าวผัด ข้าวสวย+ ผัดผัก+ แกงจืด ผลไม้
การรักษาโดยการฉายแสงข้อแนะนำก่อนการฉายแสง
- ควรรับประทานอาหารก่อนอย่างน้อย 1 ชั่วโมง และไม่ให้ท้องว่าง
- รับประทานครั้งละน้อยๆ แต่บ่อยครั้ง
- รับประทานอาหารรสไม่จัด
อาหารที่แนะนำเมื่อได้รับการรักษาด้วยการฉายรังสี- รับประทานอาหารครั้งละน้อยๆ แต่บ่อยครั้ง
- รับประทานอาหารรสไม่จัด
- กรณีกลืนอาหารลำบากรับประทานอาหารอ่อนๆ เช่น โจ๊ก ข้าวต้ม ซุปข้น
- ขนมหวาน เช่น กล้วยบวดชี เผือกต้มน้ำตาล ถั่วเขียวต้มน้ำตาล
- แครกเกอร์
- ผลไม้ หรือน้ำผลไม้
- กรณีที่น้ำลายเหนียว แนะนำให้บ้วนปากด้วยน้ำเกลือก่อนรับประทานอาหาร จะช่วยให้การรับประทานอาหารดีขึ้น
- กรณีที่มีอาการปวดแสบ ท้องเสีย หรือคลื่นไส้ อย่างมาก ควรแจ้งให้แพทย์ทราบ และควรงดอาหารที่มีกากใยสูงในช่วงแรกที่มีอาการท้องเสีย
การรักษาด้วยยาเคมีบำบัดอาหารที่แนะนำเมื่อได้รับการรักษาด้วยยาเคมีบำบัด
- อาหารที่ให้พลังงานและโปรตีนสูงในช่วงระหว่างการให้ยา เช่น ซุปใสมันฝรั่ง โจ๊กหมูใส่ไข่ นม เนื้อสัตว์ไขมันต่ำ ธัญพืชชนิดต่างๆ เช่นขนมปังโอลวีท หรือขนมปังโฮลเกรนทาแยมผลไม้
- ผักลวก ผัดผัก
- สลัดไก่ + ไข่ น้ำแอปเปิล (ผักที่นำมาปรุง ต้องล้างผ่านน้ำก๊อกนานๆ อย่างน้อย 2-3 นา
- ผลไม้สดที่ผ่านการล้าง
- อาหารที่ปรุงร้อนๆ
อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง- เนื้อย่างสุกๆดิบๆ ปลาที่มีกลิ่นคาว ไส้กรอกชนิดต่างๆ เบคอน
- เนื้อปลารมควัน
- ชีส เนย โยเกริต มายองเนส
- ผัก ผลไม้สดที่ไม่ได้ล้าง
- เมล็ดถั่วที่มีเชื้อรา เช่น ถั่วลิสงป่นที่เก็บไว้นาน
- นมที่ไม่ได้ผ่านการฆ่าเชื้อ
- อาหารที่มีกลิ่นเครื่องเทศฉุนมากๆ
อาหารแนะนำเมื่อเกิดผลข้างเคียงจากการให้ยา
- การรับรสและกลิ่นอาหารเปลี่ยน สามารถที่จะใช้สมุนไพร น้ำมะนาว มิ้น ช่วยในการรับรส การรับประทานผลไม้แช่เย็น ดื่มน้ำผลไม้เช่น น้ำมะนาวโซดา น้ำสตอเบอรีมะนาวปั่น
- ความอยากอาหารลดลง รับประทานอาหารครั้งละน้อยๆ แต่บ่อยครั้ง และต้องให้พลังงานและโปรตีนสูง เช่น นมอุ่นๆ ซุปเห็ดข้น ขนมปังผสมธัญพืชทาแยมผลไม้ หรือเนยถั่ว โจ๊กหมูสับใสไข่ มันฝรั่งอบ ถั่วเขียว หรือลูกเดือยต้มน้ำตาล ไอศกรีมเชอเบท
- ท้องผูก รับประทานอาหารที่มีกากใยสูง เช่น ข้าวกล้อง ขนมปังผสมธัญพืช ผลไม้สด เช่น กล้วยน้ำว้า แอปเปิล ส้ม ผลไม้แห้ง เช่นลูกพรุนแห้ง สลัดผลไม้น้ำใส ดื่มน้ำมากๆ หรือน้ำผลไม้
- ท้องเสีย ต้องหลีกเลี่ยงอาหารที่มีกากใยสูง และหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง เช่นอาหารทอดต่างๆ ดื่มน้ำหรืออาหารที่มีโซเดียมสูง เช่น เกลือแร่ ซุปเห็ดข้น แครกเกอร์ ดื่มน้ำหรืออาหารที่มีโปรแตสเซียมสูง เช่น น้ำเกลือแร่ มันฝรั่งอบ กล้วยหอม รับประทานผักที่มีกากใยอาหารต่ำ เช่น หน่อไม้ฝรั่งผัด มันฝรั่งอบ หรือซุปมันฝรั่ง เมื่ออาการดีขึ้น ค่อยๆเริ่มรับประทานอาหารที่มีใยอาหาร
- แผลในปาก หลีกเลี่ยงอาหารเค็มจัด เช่นปลาเค็ม เนื้อเค็ม หรือน้ำผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว เช่น น้ำมะนาว น้ำส้ม อาหารแนะนำ อาหารอ่อน เช่นโจ๊กหมูสับใส่ไข่ มักกะโรนี นม ซุปฟักทอง ซีเรียลใส่นมเย็น ผักต้มสุก น้ำผลไม้ที่ไม่เปรี้ยว เช่น น้ำแอปเปิล ชา ไอศกรีมเชอเบท
- คลื่นไส้ อาเจียน แนะนำให้รับประทานอาหารครั้งละน้อยๆ แต่บ่อยครั้ง เช่น แบ่งมื้ออาหารเป็น 5-6 มื้อ หลีกเลี่ยงอาหารที่มีกลิ่นฉุน อาหารที่มีรสหวานจัด อาหารทอดมันๆ รับประทานอาหารที่เย็นแทนอาหารร้อน หรือเผ็ดจัด อาหารแห้งๆ เช่น แครกเกอร์ ขนมปังปิ้ง อาหารแนะนำ เช่น ข้าวสวยต้ม นมไขมันต่ำ โจ๊กหมูสับใส่ไข่อุ่นๆ แครกเกอร์ ขนมปังปิ้ง มันฝรั่งอบ น้ำผลไม้เย็นๆ ไอศกรีมเชอเบท
- เม็ดเลือดขาวในเลือดต่ำ อาหารแนะนำอาหารที่มีแบคทีเรียต่ำ โดยก่อนการเตรียม หรือปรุงอาหาร ต้องล้างมือให้สะอาดทุกครั้ง และภาชนะที่ใช้ต้องสะอาด อาหารที่เตรียม เช่น ผักสด แช่น้ำและล้างผ่านน้ำอย่างน้อย 2- 3 นาที การปรุงอาหารปรุงให้สุก