ประวัติของหมอสมหมาย (หมอเทวดา)
นายแพทย์สมหมาย ทองประเสริฐ (หรือที่รู้จักกันในนาม “หมอเทวดา”) เกิดเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม พ.ศ.2464 คุณพ่อคือนายกิมซิด ทองประเสริฐ และคุณแม่นางพิมเสน ทองประเสริฐ มีบุตรธิดารวม 7 คนโดยคุณหมอเป็นคนที่ 5
การศึกษา
เริ่มต้นเข้ารับการศึกษาที่ ร.ร.เซนต์ปีเตอร์ ในปี พ.ศ. 2471 และจบ ม.5 ในปี พ.ศ. 2478 หลังจากจบชั้น ม.5 ร.ร.เซนต์ปีเตอร์ ก็มาศึกษาต่อที่ ร.ร.อำนวยศิลป์ ปากคลองตลาดจนจบ ม.8 ซึ่งเป็นรุ่นสุดท้าย ต่อมาได้เข้าศึกษาต่อที่คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จนสำเร็จการศึกษาได้เหรียญทอง และได้ศึกษาแพทย์ต่อที่ศิริราช จนสำเร็จการศึกษาในปี พ.ศ.2494
มีเจ้าหน้าที่บริการ 24 ชั่วโมง
ก่อนที่จะมาเป็นนายแพทย์สมหมาย ทองประเสริฐ (หมอเทวดา ผู้คิดค้นจีเฮิร์บ แคปซูลวัน)
หลังจากจนจบ ม.8 ที่โรงเรียนอำนวยศิลป์ คุณหมอสมหมายได้เข้าศึกษาต่อที่คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยมีพี่ชายเป็นคนส่งเสียให้เล่าเรียน จนคุณหมอสมหมายสำเร็จการศึกษาคณะเภสัชศาสตร์ได้เหรียญทองและได้เป็นอาจารย์ที่เภสัชศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หลังจากนั้น 1 ปีที่เป็นอาจารย์เภสัชศาสตร์ ก็ออกมาศึกษาแพทย์ต่อที่ศิริราช ในขณะที่เรียนคุณหมอสมหมายก็ใช้ความรู้ทางเภสัชฯ ไปทำงานร้านขายยา เพื่อส่งเสียตัวเองเรียนแพทย์จนกระทั่งคุณหมอจบการศึกษาในปี พ.ศ.2494
หลังจากจบการศึกษา คุณหมอสมหมายตั้งใจว่าจะกลับไปอยู่สิงห์บุรี เพราะแม่ของคุณหมออยู่ที่นั้นตามลำพัง แม่ก็อายุมากแล้วไม่มีใครคอยดูแล เนื่องจากพ่อเสียชีวิตตั้งแต่ปีพ.ศ. 2478 จนคุณหมอสมหมายทำงานที่ศิริราชครบ 2 ปี อีกทั้งตัวคุณหมอเองอยากได้ตำแหน่งประจำ เพราะสมัยนั้นหาตำแหน่งประจำอยากเหลือเกิน มีตำแหน่งประจำก็เป็นแผนกกระดูกซึ่งผมไม่ต้องการ
จนวันหนึ่งขณะคุณหมอเดินทางกลับจากศิริราช คุณหมอได้พบกับรุ่นพี่ ชื่อหมออุทัย ศรีอรุณ (ภายหลังได้รับตำแหน่งพลตำรวจโทและเป็นตำรวจ) ออกปากว่า อยากให้คุณหมอไปช่วยที่โรงพยาบาลตำรวจ ถ้าวันนั้นคุณหมอกลับไปเป็นหมอกระดูกที่ศิริราช คุณหมอคงเกษียณอายุแค่ 60 ปี ไม่ได้มาเป็นหมอรักษามะเร็งในปัจจุบันนี้
เมื่อไปถึงโรงพยาบาลตำรวจ คุณหมอสมหมายจึงได้พบว่าที่นั้นไม่มีความพร้อมอะไรเลย คุณหมอต้องจัดเตรียมบรรดาเครื่องไม้ เครื่องมือ จนสามารถผ่าตัดคนไข้ได้เอง สมัยนั้นโรงพยาบาลตำรวจเป็นเพียงโรงพยาบาลในแผนกตำรวจ คุณหมอทำงานจนกระทั้งได้ติดยศเป็นร้อยตำรวจเอกก็ได้ทราบข่าวว่าสิงห์บุรี กำลังสร้างโรงพยาบาล คุณหมอจึงบอกหัวหน้าแผนกว่า จะขอย้ายไปโรงพยาบาลสิงห์บุรี หากโรงพยาบาลสิงห์บุรีสร้างเสร็จ หัวหน้าคุณหมอไม่อนุญาต ท่านบอกว่า “ลื้อมาอยู่ที่นี่ไม่กี่เดือน สร้างความเจริญให้กับโรงพยาบาลตำรวจ ได้ผ่าตัดได้ ทำอะไรมากมาย ไม่อนุญาตให้ไปหรอก” เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนั้น แต่ความต้องการที่จะอยากกลับไปทำงานที่โรงพยาบาลบ้านเกิดมากกว่าในช่วงเดือนธันวาคมของปีนั้น คุณหมอสมหมายจึงเขียนจดหมายลาออกทิ้งไว้แล้วจากไปอยู่ที่สิงห์บุรีโดยไม่ได้ร่ำลาผู้ใด
ก่อนที่กำเนิด จีเฮิร์บ แคปซูลวัน
“สมัยคุณหมอสมหมายเรียนแพทย์ศิริราชอยู่ปี 3 ปี 4 จนกระทั่งสำเร็จการศึกษา และทำงานเป็นแพทย์ประจำบ้านแผนกศัลยกรรมอยู่ที่ศิริราชนั้น คุณหมอสนใจเรื่องการศึกษามะเร็งมากเพราะการศึกษาโรคอื่นๆ ทางศัยลกรรมสามารถรักษาให้หายได้ง่าย แต่การรักษามะเร็งนั้นยากมาก ไม่ว่าจะเป็นการผ่าตัดหรือฉายรังสีก็ดี”
ในปีพ.ศ. 2498 คุณหมอรับราชการเป็นนายแพทย์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสิงห์บุรี คุณหมอได้เป็นหัวหน้า คุณหมอได้เริ่มเสาะหายาสมุนไพรที่จะมาช่วยในเรื่องรักษามะเร็ง ขณะนั้นคนกำลังฮือฮาในการใช้ต้นทองพันชั่งรักษามะเร็ง คุณหมอสมหมายก็ได้ปลูกต้นทองพันชั่งไว้เป็นจำนวนมาก เมื่อมีคนไข้เป็นมะเร็งมารักษา คุณหมอก็ลองใช้ทองพันชั่งต้มให้คนไข้กิน แต่เมื่อมาดูผลการรักษากลับพบว่า มันไม่ได้ผลทุกครั้งที่คุณหมอตรวจคนไข้ OPD (ผู้ป่วยนอก) คุณหมอก็พยายามถามถึงเรื่องตำรายาสมุนไพรรักษามะเร็งจากคนไข้และญาติเพื่อทดลองใช้ แต่ที่ผ่านมาก็ยังไม่ได้ผลสักที
ตรงกับวันเสาร์ – อาทิตย์ ในปี พ.ศ.2508 บังเอิญผมขับรถไปเที่ยวป่า ที่อำเภอวิเชียรบุรี จังหวัดเพชรบูรณ์ เพื่อเสาะหาปุ่มของต้นไม้ชนิดต่างๆ เพราะชอบสะสมปุ่มไม้ ในวันนั้นคุณหมอไปที่บ้านชาวไร่คนหนึ่ง เพราะทราบว่าชาวบ้านคนนี้มีปุ่มไม้ใหญ่ และได้พบกับปุ่มไม้จริงๆ พร้อมกันนั้นคุณหมอได้พบกับเจ้าของบ้านนั่งหายใจหอบเหนื่อยอยู่ในบ้านและบังเอิญเป็นผู้ที่เคยรู้จักกัน คุณหมอจึงได้สอบประวัติได้ความว่ามีอาการไอ เหนื่อยหอบ จึงได้ไปตรวจ รักษาที่โรงพยาบาลลพบุรี แพทย์ได้ทำการเอกซเรย์ปอดแล้วบอกว่ามีน้ำท่วมปอด แพทย์เจาะน้ำออกจากปอดและเจาะชิ้นเนื้อเยื้อส่งตรวจที่กรุงเทพฯ ผลการตรวจสรุปออกมาว่าเป็นมะเร็งปอดและน้ำท่วมปอด แพทย์ลพบุรีจะส่งคนไข้ไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลศิริราช แต่ผู้ป่วยไม่ยอมไปด้วยเหตุ เพราะใกล้ๆบ้านผู้ป่วยมีแพทย์แผนโบราณรักษาโรคมะเร็งด้วยสมุนไพร คุณหมอได้ลองตรวจสอบดูพบว่า มีน้ำท่วมปอดจริง ผู้ป่วยไม่สามารถนอนได้ ต้องใช้การนั่งพิงแทน จากนั้นคุณหมอก็ลาคนไข้กลับและไม่ได้สนใจคนไข้คนนี้อีก 8 เดือนต่อมา คุณหมอได้กลับมาที่บ้านผู้ป่วยคนเดิม ตอนนั้นคิดว่าผู้ป่วยได้เสียชีวิตแล้ว ตั้งใจจะไปซื้อปุ่มไม้ที่ตั้งอยู่ในบ้านผู้ป่วย จากภรรยาผู้ป่วย แต่แทนที่จะพบผู้ป่วยเสียชีวิต กลับพบว่าผู้ป่วยมีชีวิตอยู่และเดินเหินได้ปกติ
กรณีนี้ทำให้คุณหมอสนใจมากและได้เดินทางไปยังโรงพยาบาลลพบุรี เมื่อพบแพทย์ที่รักษาผู้ป่วยรายนี้และขอดูหลักฐานรายงานและผลเอ็กซเรย์ของ ผู้ป่วยแต่แพทย์หาให้ไม่ได้ คุณหมอจึงคิดว่าผู้ป่วยรายนี้ไม่น่าจะเป็นมะเร็งปอดและแพทย์คงตรวจผิด ผมจึงไม่ได้สนใจยาสมุนไพรตำหรับนี้
ต่อมาปี พ.ศ. 2512 มีพ่อค้าคนหนึ่งที่เคยอยู่ตลาดสิงห์บุรี แล้วได้ย้ายไปทำมาหากินที่กรุงเทพ ได้กลับมาอยู่ที่สิงห์บุรี คุณหมอทราบข่าวว่าเขาเป็นมะเร็งและเป็นนานมากแล้ว จึงเดินทางไปเยี่ยม พบว่าผู้ป่วยผอมไปมาก ที่ลิ้นมีแผลเต็มไปหมด มีเลือดซึมตลอด กลิ่นเหม็น หุบปากไม่ได้ มีก้อนน้ำเหลืองใต้คางก้อนโตมากผู้ป่วยต้องใช้อ่างรูปไตรองใต้คาง ถามผู้ป่วยก็ทราบว่าเป็นมะเร็งที่ลิ้น รักษาด้วยวิธีฉายแสงที่โรงพยาบาลรามา แต่อาการไม่ดีขึ้นแพทย์ให้กลับมาอยู่ที่บ้านบอกรักษาไม่ได้ให้ใช้ยาแก้ปวด เท่านั้น เมื่อคุณหมอเห็นเช่นนี้จึงนึกถึง สมุนไพรที่อำเภอวิเชียรบุรีจึงได้แนะนำให้ผู้ ป่วยใช้ยาขนานนี้ดู ผู้ป่วยตอบตกลง คุณหมอจึงไปขอสมุนไพรมาทั้งหมด 4 หม้อ โดยคุณหมอเป็นคนต้มยาให้คนไข้เองต้มจนเหลือ 1 ถ้วยแก้ว แล้วให้คนไข้หยดใส่ปากกินให้หมดใน 1 วันหม้อ ต้มกินได้ 15 วัน ผู้ป่วยกินแต่ยาสมุนไพร อาหารน้ำและยาแก้ปวด โดยไม่ใช้ยาอะไรเลย ทว่าอาหารของผู้ป่วยกลับดีวันดีคืน แผลที่ลิ้น ค่อยๆยุบลง กลิ่นเหม็นก็น้อยลง ก้อนใต้คางก็ยุบลง น้ำหนักตัวเริ่มเพิ่มขึ้น อาการค่อยๆดีขึ้น และคนไข้เริ่มพูดได้ คุณหมอจึงไปขอยาสมุนไพรมาอีก 4 หม้อ ให้ต้มรับประทานเหมือนเดิม อาการของคนไข้ก็ดีวันดีคืนขึ้นเรื่อยๆ พอครบ 4 เดือนลิ้นยุบลงมากจนแผลหายเหลือก้อนเท่าไข่นกกระทา ติดแน่นตรงใต้คาง คุณหมอก็ไปขอยามาอีก 4 หม้อ ต้มให้กินทุกวันจนครบ 6 เดือน ใช้ยาทั้งหมดประมาณ 12 หม้อ ผู้ป่วยมีอาการเหมือนคนปกติ อ้วนขึ้น เดินไปตลาดได้ คุณหมอแนะนำผู้ป่วยว่า ควรไปทำการผ่าตัดก้อนที่คางและแผลที่ลิ้นออกแต่ผู้ป่วยไม่ยอม บอกว่าเมื่อกินยุบแล้ว ขอกินยาต่อไปเรื่อยๆ ผู้ป่วยมีอาการดีอยู่ 6 เดือนแผลที่ลิ้นก็เริ่มบวมและแตก ในที่สุดผู้ป่วยก็ถึงแก่กรรม เพราะเลือดออกที่ลิ้นมาก
จากการติดตามผู้ป่วยรายนี้ด้วยตัวของคุณหมอเองทุกวัน จึงเห็นว่ายาสมุนไพรตำรับนี้มีประโยชน์ในการรักษามะเร็ง คุณหมอจึงไปขอสูตรยาตำหรับนี้จากแพทย์แผนโบราณ แต่ท่านไม่ยอมให้ เพราะท่านบอกว่าท่านเคยรักษาโรคมะเร็งหายมาหลายราย แต่หมอแผนปัจจุบันไม่ยอมรับ
การรักษาได้รับการยอมรับจากสากล
ประมาณเดือนกันยายน – ตุลาคม พ.ศ. 2517 มีเลกเซอร์ทัวร์ ของคณะออโธปิติกส์จากกรุงเทพฯ ไปประชุมที่นครสวรรค์ คุณหมอเห็นเป็นโอกาสดีที่ได้นำเสนอเรื่องคนไข้มะเร็งที่หัวเข่า จังหวัดตราด คุณหมอจึงไปประชุมด้วย พร้อมทั้งขอรายชื่อเฉพาะคนที่เป็นมะเร็งหัวเข่าในที่ประชุม รวมทั้งแฟ้มของโรงพยาบาลเลิศสินและของคุณหมอเอง พร้อมทั้งขอร้องว่าถ้าพบคนไข้เช่นนี้ กรุณาอย่าตัดขา ให้ส่งถึงคุณหมอเพื่อรักษาจะได้มีผลงานออกมามากๆ แต่ผมก็ไม่เคยได้คนไข้จากโรงพยาบาลเลย
เมื่อคุณหมอเห็นว่าทางการแพทย์ของประเทศเราไม่สนใจในผลงานของคุณหมอ คุณหมอจึงเขียนจดหมายไปหาดอกเตอร์แชงค์ (Shank) ผู้ซึ่งเป็นไดเรกเตอร์ทอกซิโคโลยีของรัฐแคลิฟอเนีย (Director toxi Colifornia) ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2517 บอกว่า “ได้พบสมุนไพรหนึ่งตำรับ โดยให้คนไข้เป็นมะเร็งกินยาต้มเพียงอย่างเดียว มะเร็งก็สามารถยุบได้”ดอกเตอร์แชงค์ (Shank) ติดต่อคุณหมอกลับมาทันที ว่าขอให้เตรียมคนไข้มะเร็งที่กินยาต้มแล้วยุบไว้ให้ดู พร้อมทั้งเอกซเรย์ รายงานและผลชิ้นเนื้อ ประมาณต้นเดือนธันวาคม พ.ศ. 2517 ดอกเตอร์แชงค์ (Shank) บินมาหาคุณหมอที่สิงห์บุรีพร้อมโปรเซอร์นิวบริ้น เพื่อนซึ่งเป็นปาโทโลยีสต์ (Pathologist) เมื่อคุณหมอรายงานคนไข้ที่เตรียมไว้พร้อมชิ้นเนื้อให้ดูดอกเตอร์แชงค์ (Shank) ดู ก็ยอมรับว่ายาต้นตำรับนี้น่าจะเป็นประโยชน์ในการรักษามะเร็ง
ดอกเตอร์แชงค์ (Shank) ขอนำยาต้นตำรับนี้พร้อมตัวยาไปทำการค้นคว้าวิจัยที่อเมริกาต่อ แต่คุณหมอไม่ยอม เพราะคุณหมออยากให้เมืองไทย คนไทยมีชื่อเสียงในการค้นคว้ายารักษามะเร็ง เมื่อเป็นเช่นนี้ดอกเตอร์แชงค์ (Shank) ก็ให้ผมเลือกว่าจะทดลองมะเร็งชนิดใด ผมเสนอว่าขอทดลองกับมะเร็งเต้านมเพราะอวัยวะที่อยู่ภายนอกโตและเห็นง่าย เมื่อดอกเตอร์แชงค์ (Shank) กลับไปอเมริกาแล้วก็ได้ส่งคาร์ซิโน เจน (Carsinogen) ชนิดที่ทำให้เกิดมะเร็งเต้านมในหนูนามาให้ และคุณหมอก็ได้ร่วมทำการทดลองกับอาจารย์ท่านหนึ่งที่มหาวิทยาลัยมหิดลโดยคุณหมอต้มยา ชนิดที่ข้นจนเกือบเหนียวส่งไปให้ทดลองทุก 7 วัน ผลการทดลองก็มีเค้าให้เห็นว่ายาต้มนี้ สามารถทำให้หนูที่เกิดมะเร็งเต้านมยุบ ได้ แต่ทำได้เพียง 3 ปี อาจารย์ท่านนี้ก็ไปเรียนปริญญาเอกต่อที่อเมริกา การทดลองจึงต้องยุติลงในพ.ศ.2520 และอาจารย์ท่านนี้เมื่อกลับมาจากอเมริกาก็ไม่ได้สนใจที่จะทดลองยานี้ต่อ
ใน พ.ศ. 2518 คุณหมอได้เลื่อนขึ้นเป็นนายแพทย์ใหญ่ คือ นายแพทย์สาธารณสุข ประจำจังหวัดสิงห์บุรีและลาออกจากราชการ เมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2521 ขณะนี้เป็นข้าราชการบำนาญกระทรวงสาธารณสุข การที่ลาออกก่อนเกษียณอายุราชการเพราะต้องการค้นคว้าและรักษามะเร็งด้วยสมุนไพรเพียงอย่างเดียว โดยไม่ต้องมีภาระกับหน้าที่ราชการ จนได้มาเป็น จีเฮิร์ป แคปซูลวัน ที่ใช้ในผู้ป่วยที่เป็นมะเร็ง มาจนถึงปัจจุบันนั่นเอง
มีเจ้าหน้าที่บริการ 24 ชม.